Page 19 - JRISS-vol.1-no.3
P. 19
14 Journal of Ratchathani Innovative Social Sciences : Vol.1 No.3 October-December 2017
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนประการที่สอง คือ คนส่วนใหญ่ รวมทั้งข้าราชการทั้งหลาย
เห็นว่างานบริการของรัฐต้องมีสถานะเป็นหน่วยงานราชการ ไม่ต้องแข่งขันคนอื่น ซึ่งแปลว่า
ไม่ต้องมีคุณภาพและประสิทธิภาพก็ได้
ความเข้าในคลาดเคลื่อนที่สามคือ หน่วยงานของรัฐมีความมั่นคงสูง ไม่มีวันล่มสลาย
หรือเจ๊ง เพราะทุกปีรัฐจะจัดสรรงบประมาณให้ดําเนินการอยู่แล้ว แต่อาจจะลืมคิดต่อไปว่า
การที่หน่วยงานราชการ รวมทั้งองค์การทางการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพและด้อยประสิทธิภาพนั้น
จะส่งผลสําคัญต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ใช้บริการและประชาชนโดยรวมต่อไป ยิ่งถ้าเป็น
องค์การทางการศึกษาแล้ว จะส่งผลต่อคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อ
เรื่องอื่น ๆ ตามมาอีกมาก
ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนทั้งสามประการนี้ ทําให้การบริหารบ้านเมืองของเรามี
ปัญหาอยู่ในปัจจุบัน เพราะความจริงแล้วหน่วยงานของรัฐยิ่งจําเป็นต้องมีคุณภาพและ
ประสิทธิภาพ เพราะหน่วยงานของรัฐเป็นกลไกที่จะให้บริการและอํานวยความสะดวกแก่
บุคคลและหน่วยงานเอกชน ซึ่งเป็นหน่วยผลิตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศ ให้ได้รับ
ความสะดวก ปลอดโปร่งและมีศักยภาพพอที่จะแข่งขันกับประเทศอื่นได้ กรณีหน่วยงานทาง
การศึกษาซึ่งอยู่ในสภาพใกล้เคียงกัน แต่ที่เข้าใจผิดกันอยู่ในปัจจุบันว่าตัวเองเป็นผู้ผลิต
กําลังคนที่สําคัญของประเทศ จริงๆ แล้วที่เป็นเช่นนี้เพราะสถาบันของรัฐมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า
เอกชนเท่านั้นเอง จึงดึงดูดและได้คนที่มีไอคิวสูงมากกว่าเอกชนหน่อยเข้าไปเรียน แต่เมื่อเข้า
ไปแล้วไม่แน่ใจว่าจะสามารถจะพัฒนาศักยภาพเพิ่มขึ้นได้มากน้อยเพียงใด ก็ยังเป็นที่สงสัย
กันอยู่ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานของประเทศอื่น แต่แน่นอนเมื่อสําเร็จ
การศึกษาออกมาแล้ว ก็ย่อมมีคนเก่งกว่าคนอื่น พอที่จะให้หน่วยงานต่างๆ เลือกไปทํางานได้
อยู่ดี แต่อาจจะได้เพียงแค่คนสูงที่สุดในหมู่คนแคระไปทํางานเท่านั้น ดังนั้น หากเราต้องการ
ผลิตผลทางการศึกษาที่มีคุณภาพ เราต้องมีการบริหารที่มุ่งคุณภาพ เพราะคุณภาพคือหัวใจ
สําคัญในการแข่งขันในยุคปัจจุบัน ดังข้อสรุปในหนังสือขายดีของ Peters และ Waterman
(1982) ดั้นด้นหาความเป็นเลิศในบริษัทชั้นนําของอเมริกา ซึ่งพบว่าที่บริษัทอเมริกันสู้บริษัท
ของญี่ปุ่นไม่ได้ เนื่องมากจาก “คุณภาพ” ข้อเท็จจริงก็คือคนที่นําบริษัทญี่ปุ่นสู่คุณภาพคือ
Deming และ Juran กล่าวถึงใน Arcaro (1995) งานวิจัยของนักวิชาการทั้งสองเน้น
กระบวนการคุณภาพเป็นเป้าหมายสูงสุดในการดําเนินงานขององค์การ ผู้วิจัยเชื่อว่าคุณภาพ
ยังจะเป็นกฎแห่งความอยู่รอดของการบริหารงานในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดต่อไป ดังนั้นการที่
บทบัญญัติในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ในหมวด 6 (ราชกิจจานุเบกษา,
2542) ได้กําหนดให้มีระบบประกันคุณภาพการศึกษาเป็นกลไกสําคัญในการบริหารการศึกษา
ของไทยนั้น นับว่าเป็นแนวคิดและหลักการที่สอดคล้องกับยุคสมัยอย่างยิ่ง แม้จะมีปัญหาในทาง
ปฏิบัติหลายประการอยู่ก็ตาม