Page 12 - JRIHS VOL1 NO3 October-December 2017
P. 12

Journal of Ratchathani Innovative Health Sciences : Vol.1 No.3 October-December 2017   7

                นักศึกษายังไมไดพบผูรับบริการ โดยนักศึกษาควรมีการเตรียมเปาหมายในการสรางสัมพันธภาพ
                เพื่อการบําบัดใหชัดเจน ศึกษาขอมูลเบื้องตนของผูรับบริการ ปญหาที่เคยเกิดขึ้น และภูมิหลัง

                ของผูรับบริการ เชน ชื่อ นามสกุล อายุ อาชีพ สถานภาพสมรส และครอบครัว นอกจากนี้
                นักศึกษาควรเตรียมความพรอมของตนเองทั้งดานรางกายและจิตใจใหมีความพรอม
                        ปญหาที่อาจเกิดขึ้นไดในระยะปฏิสัมพันธ คือ ความรูสึกกลัวและวิตกกังวลตอการสราง
                สัมพันธภาพกับผูรับบริการ สวนใหญนักศึกษาจะกลัวถูกผูรับบริการทําราย กลัวถูกปฏิเสธการ
                สนทนา วิตกกังวลไมรูจะสรางสัมพันธภาพอยางไร กลัวพูดกับผูรับบริการไมรูเรื่อง วิตกกังวล

                เกี่ยวกับการใชเทคนิคในการสนทนา และกลัวไปทํารายจิตใจผูรับบริการ ปญหาเหลานี้อาจ
                เนื่องจากนักศึกษามีประสบการณหรือความคิดในอดีตเกี่ยวกับพฤติกรรมของผูรับบริการจิตเวช
                        แนวทางแกไข นักศึกษาตองสํารวจตนเองวากลัวอะไร ความกลัวหรือวิตกกังวลนี้มาจาก

                ไหน มีอะไรที่เกี่ยวของ ขอคําชี้แนะจากอาจารยนิเทศหรืออาจารยพี่เลี้ยง โดยอภิปรายถึง
                ทัศนคติที่มีตอผูรับบริการและการสรางสัมพันธภาพกับผูรับบริการ การพูดคุยหรือปรึกษาพี่ หรือ
                เพื่อนนักศึกษา ที่มีประสบการณมากอน การพัฒนาตนเองเตรียมตัวดานความรูและเทคนิค
                สัมพันธภาพเพื่อการบําบัด ก็จะชวยใหเกิดความมั่นใจในการเขาหาผูรับบริการวิธีตาง ๆ ดังกลาว

                เหลานี้ จะชวยลดความกลัวและวิตกกังวลของนักศึกษา
                        2. ขั้นการสรางปฏิสัมพันธ (Orientation Phase)
                       ขั้นตอนการสรางปฏิสัมพันธมีระยะเวลาไมนาน หรือสามารถขยายระยะเวลายาวนานขึ้น
                ได ในชวงแรกอาจยืดเยื้อในผูรับบริการที่มีอาการรุนแรง และผูรับบริการที่มีการเจ็บปวยทางดาน

                สุขภาพจิตเปนระยะเวลานาน ในครั้งแรกที่นักศึกษาพยาบาลและผูรับบริการพบกัน ทั้งสองฝายมี
                ความรูสึกเปนคนแปลกหนาตอกัน นักศึกษาและผูรับบริการยังไมรูจักกัน จึงมีปฏิสัมพันธตอกัน
                ตามพื้นฐานคานิยมและประสบการณของตนเอง นักศึกษาจําเปนจะตองมีการตระหนักรูในตนเอง
                การพัฒนาความสัมพันธแบบตอเนื่องเปนการคนหาปฏิกิริยา อารมณทางดานบวกและลบของ

                ผูรับบริการ การที่ผูรับบริการมีความรูสึกเกี่ยวกับนักศึกษาเรียกวาการถายโอนความรูสึก
                (Transference) การแสดงของความรูสึกจากนักศึกษาพยาบาลหรือแพทยไปยังผูรับบริการ เรียกวา
                ถายโยงความรูสึก (Counter Transference) นักศึกษาจะตองรักษาขอบเขตของสัมพันธภาพให
                เหมาะสม ในระยะที่ 2 การสรางความไววางใจ (Establishing Trust) เปนสิ่งสําคัญในระหวางการ

                เผชิญหนาในครั้งแรกกับผูรับบริการ ดวยการสรางบรรยากาศใหเกิดความไววางใจ ซึ่งสามารถ
                พัฒนาได แสดงใหเห็นถึงความจริงใจและเอาใจใส การรับรูและเขาใจ การใหความนับถือ ความ
                สม่ําเสมอและการใหความชวยเหลือผูรับบริการที่มีปญหาทางดานอารมณ อาจจะใชเวลาเพียง
                ชวงเวลาสั้นๆ บางครั้งอาจใชเวลานาน กอนที่ผูรับบริการรูสึกอิสระที่จะพูดคุยเกี่ยวกับ

                ประสบการณสวนตัวที่เจ็บปวด และความคิดเห็นสวนตัว สรางความคุนเคย ความไววางใจและ
                ความรูสึกปลอดภัย โดยการแสดงการยอมรับผูรับบริการ การจัดสภาพการสนทนาเพื่อการบําบัด
                ดําเนินการสื่อสารเพื่อใหเกิดความเขาใจ กําหนดขอตกลงในการสรางสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด
   7   8   9   10   11   12   13   14   15   16   17