Page 10 - JRISS-vol.2-no1
P. 10
Journal of Ratchathani Innovative Social Sciences : Vol.2 No.1 January-March 2018 5
สนทนากันระหวางนักปรัชญากับชายหนุมคนหนึ่ง โดยการยกประเด็นที่เปนความเชื่อ
โดยทั่วไปของบุคคลและแนวคิดของ Freud แลวถกเถียงและชี้ประเด็นเดียวกันในมุมมองของ
Adler โดยสาระสรุปก็คือผูแตงซึ่งสะทอนแนวคิดของ Adler ผานนักปรัชญาเพื่อชี้ใหเห็นวา
เหตุการณที่บุคคลประสบมาในอดีต ประสบการณ และสภาพแวดลอม ไมสามารถมีอิทธิพล
ตอพฤติกรรมของบุคคลนั้นทั้งในปจจุบันและอนาคตได นอกจากเขาจะเลือกใชเหตุการณ
ประสบการณ หรือสภาพแวดลอมเหลานั้นเพื่อประโยชนในเปาประสงคที่เขาตองการใน
ขณะนั้น เชน คนที่ชอบอยูคนเดียวและไมชอบสังคม อาจจะบอกวานั่นคือชีวิตที่พอกับแม
กระทํากับเขาตอนเปนเด็ก พอโตขึ้นเขาจึงมีนิสัยแบบนี้ ดังนั้นอยามาโทษเขานะ ทั้ง ๆ ที่จริง
แลวถาเขาอยากจะเปลี่ยนแนวทางในการดําเนินชีวิตของเขาใหมก็ได และเปลี่ยนไดทันทีถา
เขาตองการเปลี่ยน และการที่เขาใชอดีตมาเปนขออาง ก็เพียงเพื่อตองการอยูคนเดียวและไม
อยากเขาสังคมเทานั้น และประโยชนซอนเรนของการที่เขาชอบอยูคนเดียวและไมเขาสังคม
อาจจะมีอยางอื่นดวย เชน พอ แม ญาติพี่นองอาจจะสนใจและใสใจเขามากขึ้น เพื่อนฝูง
อาจจะสนใจและหวงใยเปนพิเศษ เปนตน เขาจึงไมอยากเปลี่ยน ทั้ง ๆ ที่ถาตองการเปลี่ยนก็
เปลี่ยนไดทันที ซึ่งแนวคิดเชนนี้ถูกใจผูเขียนอยางยิ่ง ดังกลาวมาแลวขางตน
คนเราลิขิตชีวิตตนเองได
ดวยผูเขียนเกิดในสังคมศาสนาพุทธ และถูกสอนมาเกือบตลอดชีวิตวา “ชีวิตเราจะ
เปนอยางไรขึ้นกับกรรมเกาที่เราทํา ทั้งในชาติกอนและชาตินี้” และบอยครั้งเมื่อมีใครประสบ
เหตุใด หรือมีใครสักคนที่ตองตายจากเราไปดวยอุบัติเหตุ หรือกอนเวลาอันควร เราก็จะ
2
ปลอบใจกันวาเขาทําบุญมาเทานั้นเทานี้ 1 ซึ่งก็เปนเรื่องที่ดีอีกแบบครับ กลาวคืออยางนอยก็
ทําใหคนระมัดระวังการกระทําของตน หรือถามีเหตุไมบังควรเกิดขึ้นกับเราก็เปนทฤษฎีนี้ไว
ปลอบใจไดวา “เปนเวรเปนกรรม” ขณะเดียวกันความเชื่อและความเขาใจดังกลาวก็ทําใหคน
จํานนตอชะตากรรม และปลอยไปตามยถากรรม แทนที่จะคิดและหาทางแกไข ดังชีวิตในชวง
ตนของผูเขียนดังกลาวมาแลว ซึ่งก็ไมทราบวาคนอื่นคิดและเปนแบบที่ผูเขียนเปนบางไหม
ผูเขียนเชื่อวา คนไทยที่นับถือศาสนาพุทธจํานวนหนึ่งคิดและเปนเชนที่กลาวมา
ขางตน เชน สมมติวามีคนขี่มอเตอรไซคมาตอนกลางคืนและบังเอิญตกทอระบายน้ําที่เทศบาล
ขุดทิ้งไว “ตาย” ก็จะบอกวา เขามีบุญมาเทานั้นและถึงที่ตายพอดี ทั้งๆ ที่ในความเปนจริง
แลว เราสามารถปองกันได คือ มีสัญญาณไฟบอก หรือมีรั้วกั้นตลอดระยะทางที่ขุดทอ เปนตน
ในชวงกวาครึ่งหนึ่งของชีวิตนั้น ผูเขียนยอมรับวาจํานนตอเวรกรรม เชื่อวาทุกสิ่งอยางที่เกิด
ขึ้นกับตนเองนั้นเปนลิขิตสวรรคหรือนรก ทุกอยางไดขีดเสนชีวิตไวแลว สวนการดําเนินชีวิต
เปนเพียงการแกไขสิ่งตางๆ ตามอาการ แตพอปวยหนักในป 2549 และไดมีเวลาไตรตรองก็
พบวา จริงๆ แลวเรานาจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราได และเริ่มเปลี่ยนตนเองตั้งแตนอนรักษาตัว
2 แก่นของศาสนาจริง ๆ สอนอย่างนั้นหรือเปล่าก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้ครับ